การลงสีคอนทราสต์

การเพ้นท์โมเดลด้วยสี Citadel จากค่าย Games Workshop มีให้เลือก 3 วิธีด้วยกัน

• ลงสีคลาสสิค (Citadel Base + Citadel Shade + Citadel Layer หรือ Dry)
• ลงสีคอนทราสต์ (Citadel Contrast + Citadel Layer หรือ Dry)
• พ่นสีด้วยแอร์บรัช (Citadel Air)

ในหัวข้อนี้ เราจะอธิบายวิธีการลงสีคอนทราสต์ ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วกว่าการลงสีคลาสสิค แต่ความสวยงามและความเนี้ยบอาจจะด้อยกว่าหน่อย

ขั้นตอนที่ 1: รองพื้น

การลงสีคอนทราสต์จำเป็นต้องใช้รองพื้นสีอ่อน เช่น สีขาว สีเทา หรือสีกระดูก ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ถ้าลงสีคอนทราสต์บนรองพื้นสีดำจะไม่เห็นเอฟเฟกต์ที่ควรจะเป็น ถ้ายังไม่ได้อ่านหัวข้อ การลงสีรองพื้นโมเดล เราแนะนำให้อ่านก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนถัดไป

ขั้นตอนที่ 2: ลงสีคอนทราสต์

Games Workshop กล่าวไว้ว่า "สีคอนทราสต์เป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อการลงสีที่รวดเร็ว แค่ลงสีคอนทราสต์เพียงรอบเดียว ก็ให้ผลเหมือนการลงสี base และ shade"

การลงสีคลาสสิค ปกติเราจะลงสี base บางๆ 2 รอบ ต่อด้วย shade (หรือ wash) ก็ปาเข้าไป 3 รอบแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนมาลงสีคอนทราสต์ ปาดทีเดียว จบ เจ๋งใช่ไหมล่ะ

เราแนะนำให้ใช้พู่กันรุ่น shade เนื่องจากสีคอนทราสต์ค่อนข้างเหลว

ลงสีคอนทราสต์แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร โกลเดน ก็อบลิน เกมส์ ได้ทดลองแล้วทุกสี คลิกดู ตัวอย่างสีคอนทราสต์ กันได้เลย

ขั้นตอนที่ 3: เพิ่มไฮไลท์

พอสีคอนทราสต์แห้ง โมเดลก็จะดูดีขึ้นมาทันที เอฟเฟกต์จากสีคอนทราสต์ทำให้ร่องต่างๆ ดูมีมิติขึ้น จากนั้นก็ไฮไลท์บางจุดเพิ่มแสงเงาขึ้นอีกหน่อย

การไฮไลท์สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ปัดพู่กันแห้ง (dry brush) หรือลงสีเลเยอร์

เทคนิคการปัดพู่กันแห้ง สามารถใช้สี Citadel Dry ซึ่งเนื้อสีค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว ออกแบบมาให้ใช้แบบแห้งๆ ไม่ต้องผสมน้ำ ใช้พู่กันตักสีออกมาเล็กน้อย ปัดขนแปรงบนกระดาษทิชชู่อเนกประสงค์ให้สีเหลือติดปลายพู่กันเพียงเล็กน้อย แล้วค่อยปัดลงบนโมเดลตรงส่วนที่เราต้องการไฮไลท์ให้ดูสว่างขึ้น

ส่วนการลงสีเลเยอร์ สามารถใช้สี Citadel Layer ซึ่งเนื้อสีเหลวกว่า Citadel Base ควรเลือกสีที่สว่างกว่าสี base ของโมเดล การลงสีเลเยอร์กำหนดตำแหน่งได้แม่นยำกว่าการปัดพู่กันแห้ง แต่ก็ใช้เวลาลงสีนานกว่า ควรใช้พู่กันขนาดเล็กลงสีส่วนที่เราต้องการไฮไลท์ให้ดูสว่างขึ้น

ตัวอย่างสีคอนทราสต์

เราได้ทดลองสีคอนทราสต์ทั้งหมด 34 สี ทาลงบนโมเดลที่รองพื้นด้วยสี Grey Seer (ซ้าย) และ Wraithbone (ขวา) มาดูกันเลยว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร